บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาคโธ ได้แก่ เป็นใหญ่แห่งชาวแคว้น
มคธ.
บทว่า เสนิโย ได้แก่ ผู้ถึงพร้องด้วยเสนา.
คำว่า พิมฺพิสาโร เป็นพระนามาภิไธย ของพระราชาพระองค์นั้น.
บทว่า ปพฺพาเชติ วา มีความว่า ทรงให้ออกไปเสียจากแว่นแคว้น.
บทที่เหลือในคำนี้ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
สองบทว่า ปญฺจมาสโก ปาโท ความว่า ครั้งนั้น ในกรุงราชคฤห์
20 มาสก เป็นหนึ่งกหาปณะ ; เพราะฉะนั้น ห้ามาสกจึงเป็นหนึ่งบาท. ด้วย
ลักษณะนั้น ส่วนที่สี่ของกหาปณะพึงทราบว่า เป็นบาทหนึ่ง ในชนบททั้งปวง.
ก็บาทนั้นแล พึงทราบด้วยอำนาจแห่งนีลกหาปณะของโบราณ ไม่พึงทราบ
ด้วยอำนาจแห่งกหาปณะ นอกนี้ มีรุทระทามกะกหาปณะเป็นต้น.
[
พระพุทธเจ้าทุกองค์ปรับโทษถึงที่สุดเพียงบาทเดียว
]
แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ก็ทรงบัญญัติปาราชิกด้วยบาท
นั้น ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะมีในอนาคต ก็จักทรงบัญญัติปาราชิกด้วย
บาทนั้น. จริงอยู่ ความเป็นต่างกัน ในวัตถุปาราชิกหรือในปาราชิก ของ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ย่อมไม่มี. วัตถุแห่งปาราชิก 4 ก็เหมือนกันนี้แหละ
ปาราชิก 4 ก็เหมือนกันนี้แหละ ไม่มีหย่อนหรือยิ่งกว่านี้. เพราะเหตุนั้น แม้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงติเตียนพระธนิยะแล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติทุติยปา-
ราชิกด้วยบาทนั่นเทียว จึงตรัสคำว่า โย ปน ภิกฺขุ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ
เป็นต้น.
เมื่อทุติยปาราชิกอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติทำให้มั่นคงด้วยอำ-
นาจแห่งความขาดมูลอย่างนั้นแล้ว เรื่องรชกภัณฑิกะ แม้อื่นอีกก็ได้เกิดขึ้น เพื่อ
ประโยชน์แก่อนุบัญญัติ. เพื่อแสดงความเกิดขึ้นแห่งเรื่องนั้น พระธรรม-
สังคาหกาจารย์ จึงได้กล่าวคำนี้ไว้ว่า ก็แล สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงบัญญัติแล้ว แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
ใจความแห่งเรื่องนั้น และความสัมพันธ์กันแห่งอนุบัญญัติ พึงทราบ
โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในปฐมปาราชิกวรรณนานั่นแหละ. ทุก ๆ สิกขาบท ถัด
จากสิกขาบทนี้ไป ก็พึงทราบเหมือนอย่างในสิกขาบทนี้. จริงอยู่ คำใด ๆ ที่
ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น ข้าพเจ้าจักละเว้นคำนั้น ๆ ทั้งหมดแล้ว
พรรณนาเฉพาะคำที่ยังไม่เคยมี ในหนหลังที่สูง ๆ ขึ้นไปเท่านั้น. ก็ถ้าว่า
ข้าพเจ้าจักพรรณนาคำซึ่งมีนัยดังที่กล่าวแล้วนั้น ๆ ซ้ำอีก, เมื่อไร ข้าพเจ้าจัก
ถึงการจบลงแห่งการพรรณนาได้เล่า ? เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาทั้งหลาย ควร
กำหนดคำที่กล่าวไว้แล้วในก่อนนั้น ๆ ทั้งหมดให้ดี แล้วทราบใจความและ
โยชนาในคำนั้น ๆ. อนึ่ง คำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยมี ทั้งมีเนื้อความ
ยังไม่กระจ่าง ข้าพเจ้าเองจักพรรณนาคำนั้นทั้งหมด.
จบปฐมบัญญัติทุติยปาราชิก
เรื่องอนุบัญญัติทุติยปาราชิก
สองบทว่า รชกตฺถรณํ คนฺตฺวา ความว่า ไปสู่ท่าที่ตากผ้าของ
ช่างย้อม. จริงอยู่ ท่านั้น เรียกว่า ลานตากผ้าของช่างย้อม เพราะที่ท่านั้นเป็น
ที่พวกช่างย้อมลาดผ้าตากไว้.
บทว่า รชกภณฺฑิกํ ได้แก่ ห่อสิ่งของ ๆ พวกช่างย้อม. เวลาเย็น
พวกช่างย้อม เมื่อจะกลับเข้าไปยังเมือง ผูกผ้ามากผืนรวมกันเป็นห่อๆ ไว้, พวก
ภิกษุฉัพพัคคีย์ เมื่อช่างย้อมเหล่านั้นไม่เห็น เพราะความเลินเล่อ ก็ได้ลัก
อธิบายว่า ขโมยเอาห่อหนึ่งจากห่อนั้นไป.
[
อรรถาธิบายบ้านที่มีกระท่อมหลังเดียวเป็นต้น
]
คำมีอาทิอย่างนี้ว่า คาโม นาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพื่อ
แสดงประเภทแห่งบ้านและป่า ที่พระองค์ตรัสไว้แล้วในคำนี้ว่า จากบ้านก็ดี
จากป่าก็ดี. ในคำว่า บ้านแม้มีกระท่อมหลังเดียว เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ : -
ในหมู่บ้านใดมีกระท่อมหลังเดียวเท่านั้น ชื่อว่ามีเรือนหลังเดียว
เหมือนในมลัยชนบท บ้านนี้ ชื่อว่า บ้านมีกระท่อมหลังเดียว. บ้านเหล่าอื่น
ก็ควรทราบโดยนัยนั้น. บ้านใดเป็นถิ่นที่ยักษ์หวงแหน เพราะไม่มีพวกมนุษย์
โดยประการทั้งปวง หรือพวกมนุษย์อยากจะกลับมาแม้อีกด้วยเหตุบางอย่าง
ทีเดียว ก็หลีกไปเสียจากบ้านใด, บ้านนั้น ชื่อว่าไม่มีมนุษย์. บ้านใด ที่เขา
ทำกำแพงก่อด้วยอิฐเป็นต้นไว้ โดยที่สุด แม้ล้อมไว้ด้วยหนามและกิ่งไม้,
บ้านนั้น ชื่อว่ามีเครื่องล้อม. บ้านใดที่พวกมนุษย์ไม่ได้ตั้งอาศัยอยู่ ด้วยอำนาจ
เป็นสถานที่พักอยู่รวมกัน ซึ่งใกล้ถนนเป็นต้น แต่สร้างเรือนไว้ 2-3 ตัว หลัง
แล้วเข้าอาศัยอยู่ในที่นั้น ๆ ดุจโคนอนเจ่าอยู่ในที่นั้น ๆ 2-3 ตัว ฉะนั้น